The Portal of Wonderland บทที่ 1 – เด็กหนุ่มจากหมู่บ้านของชาวประมง


The Portal of Wonderland บทที่ 1 – เด็กหนุ่มจากหมู่บ้านของชาวประมง

*****************

แปลโดย Dogdata

*****************

ณ หมู่บ้านชาวประมงที่ห่างไกลในเฉียนโจว จังหวัดไคเหยียนในยุคของราชอาณาจักรสวรรค์ ดาฉี

รถม้าที่ตกแต่งอย่างหรูหราล้อมรอบข้างนอกกระท่อมไม้โทรมๆในขณะที่ชายฉกรรจ์ติดอาวุธในชุดคลุมสีดำหลายคนยืนเฝ้าอยู่รอบ ๆ ชาวบ้านต่างพากันตื่นเต้นในที่เกิดเหตุ กระซิบกระซาบพูดคุยกันเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อหน้าพวกเขา

"พวกเขาเหล้านั้นจริงๆแล้วมาจากตระกูลจินรึป่าว? ตระกูลจิน แห่งเมืองเฟิงใช่มั้ย?”

“ใช่ถ้าข้ามองไม่ผิด เห็นนั่นมั้ย? ลายถักสีทองบนเสื้อคลุมของพวกเค้า ไม่มีตระกูลไหนในจังหวัดไคเหยียน ใช้นอกจากตระกูลจิน”

“ไม่น่าเชื่อ! ตั้งแต่นั้นมาไม่มีรู้ข่าวของ ซือติง ในช่วงสิบปีก่อนหน้านั้นเขาทิ้งลูกและภรรยาไปผู้คนต่างคิดว่าเขาตายไปแล้ว อาจจะป่วยตายอยู่ภายในดินแดนที่ไม่รู้จัก แต่ตอนนี้เขาได้เข้าร่วมกับตระกูลจินและส่งคนมารับ ซือมู ลูกชายของเขา น่าเศร้าที่ของเขาตายไปแล้ว ไม่งั้นเธอคงได้มีโอกาสที่จะมีชีวิตใหม่ที่มั่งคั่งและอยู่ดีกินดี”

“ความมั่งคั่งและกินดีอยู่ดี? มันไม่น่าเป็นไปได้ ข้าแอบได้ยินนายทหารของตระกูลจินกล่าวว่า ซือติง เป็นลูกเขยตระกูลจินและเข้าคงไม่กล้าส่งคนไปรับ สือมู หรอกถ้าแม่ของเด็กยังมีชีวิตอยู่”


“จะยังไงก็ช่าง ชีวิตอันแสนลำบากของ ซือมู ก็คงจบลงเขาเป็นเด็กกำพร้าจวบจนถึงเมื่อวานนี้ ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปเขาจะได้กลายมาเป็นนายน้อย”

------------

“พ่อของข้านอนอยู่บนเตียงแล้วป่วยหนักแล้วข้ายังมีน้องสาวที่ข้าไม่รู้จักอีก?” ซือมู ถามชายชราที่สวมเสื้อสีน้ำเงินที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา เกี่ยวกับเรื่องเหลือเชื่อที่ได้ยิน

ดวงอาทิตย์ที่รุนแรงและลมจากมหาสมุทรได้เปลี่ยนผิวของเขาเป็นสีแดงเข้มทำให้เขาดูโตกว่าอายุสิบสาม ลักษณะของเขาดูแข็งแรงทำให้เขาโดดเด่นกว่าเพื่อนๆของเขา เสื้อคลุมโกโรโกโสได้อำพลางสัดส่วนและความกำยำของกล้ามเนื้อของเขาเล็กน้อยบวกกับกลิ่นอายที่ดูดุร้าย

“ถูกต้อง ด้วยโรคร้ายบางทีนายท่านอาจจะอยู่ได้ไม่นาน เป็นสาเหตุให้ข้ามาที่นี่ นายหญิงขอให้ข้ามาพานายน้อยซือกลับไปกับข้าเข้าพบนายท่านก่อนจะจากไป” ชายคนนั้นยิ้มตอบคำถามอย่างอ่อนโยน

“นายหญิงที่ท่านพูดหมายถึงใคร? พ่อข้าทอดทิ้งข้าและแม่ตั้งแต่ยังเด็ก ผ่านไปหลายปีแล้วเขายังไม่กลับมาหาข้า ท่านคงต้องล้มเลิก เพราะข้าจะไม่ไปที่ตระกูลจินกับท่าน” เด็กชายตอบด้วยน้ำเสียงโกรธเคืองโดยไม่มีความลังเล

“อนิจจา! ข้าเกรงว่านายน้อยซือจะเข้าใจนายท่านผิด นายท่านมีปัญหามากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเป็นเหตุทำให้ไม่สามารถกลับมาหานายน้อยซือได้ มันเป็นความต้องการสูงสุดของนายท่านที่จะพบนายน้อยเพื่อแก้ปัญหาความเข้าใจผิดในอดีต” คนรับใช้แก่พยายามอธิบาย

“ฮึ! คนคนนั้นได้ทิ้งครอบครัวของตัวเอง ไม่มีอะไรที่ท่านพูดแล้วจะเปลี่ยนความจริงนี้ได้ ท่านควรล้มเลิกแล้วจากไป”เด็กหนุ่มพูดด้วยท่าทางเย็นชา

ชายชราที่สวมเสื้อสีน้ำเงินดูเหมือนจะอยู่ในสถานะกระอักกระอ่วม เขาขมวดคิ้วเข้ามาใกล้ๆและพูดเมื่อเขาสังเกตเห็นลักษณะของขายหนุ่ม เสียงของเขาให้ความรู้สึกเด็ดขาด

“ยาที่นายน้อยซือซื้อจากร้านขายยาในเมืองราคาถูกอย่างไร้เหตุผล? นอกจากนี้ครูที่ฝึกสอนศิลปะการต่อสู้ของเมืองยังเรียกเก็บเงินกับนายน้อยถูกกว่านักเรียนคนอื่นๆ? ไม่ลืมว่าปลาที่นายน้อยขายได้รวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์เมื่อยามที่นายน้อยซือมาถึงตลาดของเมือง?ไม่เพียงแค่นั้นยังไม่มีลูกค้ารายใดบ่นเรื่องราคาปลา?”

“ท่านหมายความว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเพราะคนคนนั้น?” เด็กชายถามขึ้นด้วยความตื่นตะลึง

“ข้าไม่ทรายว่าเป็นความคิดของนายท่านรึป่าว อย่างไรก็ตามนายหญิงได้เป็นคนขอร้องเรื่องนี้ด้วยตัวเอง”คนรับใช้ตอบด้วยรอยยิ้ม

คำพูดนั้นดูเหมือนจะส่งผลต่อเด็กหนุ่มและเขาก็อยู่ตกในสภาพปั่นป่วนและว้าวุ่น

“ข้าขอถามนายน้อย นายน้อยยังเรียน ศิลปะการผ่อนปรนร่างกาย อยู่หรือไม่? ไม่ต้องสงสัยเลยว่านายต้องต้องการเป็นนักรบที่แท้จริง นายหญิงท่านใจดีมากพอที่จะเสนอโอกาสให้นายน้อยซือเข้ารับการทดสอบลงทะเบียนของโรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้ ไคเหยียน ตราบเท่าที่นายน้อยตกลงไปพบนายท่าน แน่นอนว่าสุดท้ายแล้วการเข้าเรียนนั้นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของนายน้อย”ชายคนนั้นค่อยๆวางการ์ดไว้บนโตะ

“โรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้ ไคเหยียน” เด็กชายพูดย้ำๆพลางตะลึง เช่นเดียวกับเด็กคนอื่นๆในวันสิบสามเขาได้รับการกระตุ้นด้วยสิ่งล่อตาล่อใจดังกล่าว

ในฐานะนักเรียนศิลปะการต่อสู้ข้าแน่ใจว่านายน้อยต้องรู้แน่ว่าโรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้ ไคเหยียน เป็นหนึ่งในสี่โรงเรียนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดและจะมีการลงทะเบียนนักเรียนทุกๆ 5 ปี ผู้สมัครจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขสำคัญสองข้อเพื่อให้เข้าสอบ ข้อแรก ผู้สมัครต้องสำเร็จ ศิลปะการผ่อนปรนร่างกาย ก่อนอายุ 15 ปี ข้อสอง ผู้สมัครต้องเข้าใจเนื้อแท้ของ ปราณ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้สมัครจะสามารถบ่มเพาะปราณแท้จริง ซึ่งหมายความว่าพวกเขาจะสามารถไหลเวียนปราณได้อย่างต่อเนื่องผ่านเส้นปราณเมอริเดียน มันเป็นไปไม่ได้ที่เหล่าผู้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ที่แท้จริงจะไม่รู้เรื่องเหล่านี้ อย่างไรก็ตามไม่ง่ายเลยที่จะเข้าใจเนื้อแท้ของปราณ ยาหลิงชี จะกระตุ้นให้ปราณมีสถานะยืดหยุ่น และยาตัวนี้ก็ราคาแพงเสียด้วย แม้แต่ในตระกูลจินก็ยังซื้อได้ครั้งละแค่เพียง 10 เม็ดเท่านั้น ข้าเป็นห่วงความใฝ่ฝันของนายน้อย ได้โปรดทำตามที่ใจท่านปรารถนา”ชายชรากล่าวอย่างช้าๆและเชื่อมั่นว่าคำพูดของเขาจะชักจูงนายน้อยได้

เด็กหนุ่มเงียบไปเป็นเวลานานและในที่สุดเขาก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นเฉียบ

“ให้พวกท่านมาใหม่ ในอีกสามวันข้าถึงให้คำตอบ”

“เยี่ยม แล้วอีกสามวันข้าจะกลับมาพร้อมกับรอฟังข่าวดี”ชายเสื้อคลุมสีน้ำเงินกล่าว

เข้ารู้สึกว่าเด็กคนนั้นได้ตัดสินใจเรียบร้อยแล้วเขาโค้งคำนับเล็กน้อยและไม่นานก็จากไป

-------------

“หัวหน้า เฉิง ทำไมเราถึงกลับโดยที่ไม่มีเขา? ทำไมเราไม่ใช้กำลังบังคับพาเขากลับไปพวกเราจะได้ไม่ต้องเสียเวลา” ผู้ขับรถม้าสังเกตเห็นหลังจากที่พวกเขาออกจากหมู่บ้าน

“เหลวไหล! เขาอาจไม่ใช่ลูกชายของนายหญิง แต่นายน้อยซือเป็นลูกชายทางสายเลือดของนายท่าน เราได้รับการขอร้องให้พาเขามาอย่างปลอดภัยและด้วยความตั้งใจของเขาเอง การทำให้นายท่านเสียใจเหมือนทำให้งานของเราล้มเหลว โดยให้คิดถึงอารมณ์ของนายหญิง”ชายชุดคลุมสีน้ำเงินโกรธเคือง

“อ่า ขออภัย ข้าน้อยช่างโง่เขลานัก” ผู้ขับรถม้าพึมพำ

ทันใดนั้นมีเงาสายหนึ่งจากระยะไกล คนดังกล่าวใส่ชุดคลุมสีดำกำลังควบม้าเข้าไปหาคนรับใช้ชราและโค้งคำนับ

“หัวหน้า เฉิง เราได้พบนักรบของเปียวที่ส่งมาโดยนายท่านลำดับที่ 5 เราควรทำอย่างไรดี ” เขาถาม

“ฮึ! หมายความว่านายท่านลำดับที่ 5 ยังวางแผนอะไรซักอย่างอยู่ เจ้าไม่สามารถจัดการกับนักรบของเปียวได้ ข้าจะจัดการพวกมันเอง บอกทางให้แก่ข้าส่วนคนอื่นๆรออยู่ที่นี่ ข้าจะไปจบแผนการโง่ๆนั่นเอง”ชายแก่ขมวดคิ้ว

“รับทราบ” ผู้ควบม้าดังกล่าวบอกเส้นทางเดินกลับเข้าไปในป่าตามเส้นทางที่เขาได้จากมา

ช้าเสื้อคลุมสีน้ำเงินกระโดดลงจากหลังม้าด้วยร่างที่เหมือนกับขนนก เขาหายตัวไปภายในเวลาชั่วครู่ขณะคนควบรถม้าคนอื่นๆที่มาพร้อมรถลากไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหว

-------------------------

ช่วงเวลายามราตรีซือมูคุกเข่าอยู่หน้าหลุมฝังศพนอกหมู่บ้านบนเนินเขาไร้ชื่อ แสงจันทร์สาดส่องลงบนป้ายหินสีเหลืองซึ่งอ่านได้ว่า “หลุมฝังศพของภรรยาตระกูลซือ ซือหวัง”

“ถึงท่านแม่ ท่านอาจจะไม่เชื่อในสิ่งที่ข้าพูด พ่อยังไม่ตาย เขาแต่งงานกับครอบครัวอื่นในดินแดนที่ไม่รู้จัก แต่โปรดอย่ากังวลเพราะข้าจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับท่าน พ่อได้โกหกท่านเขาบอกว่าเขาต้องการแสวงหาศิลปะการต่อสู้ แต่ข้าจะไปเป็นนักรบที่แท้จริง ลูกชายของท่านจะเป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในยุทธภพที่ไม่เคยมีมาก่อนเพื่อที่จะให้ท่านแม่ได้พักผ่อนอย่างสงบชั่วนิรันดร์ ”

เด็กหนุ่มพึมพำพึมพำหน้าหลุมศพแม่ของเขาก่อนจะลุกยืนขึ้น และยืดเส้นยืดสายก่อนจะเริ่มฝึกซ้อมในจุดๆเดียวกัน

ถ้ามีคนกำลังเฝ้ามองเขาจากระยะไกล จะเห็นว่าร่างกายของเขาราวกับเสือโคร่ง การเคลื่อนไหวของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วผ่านไม่ไม่กี่วินาทีได้ยินเสียงกระดูกดังแคร๊กจากระยะไกล ไม่ช้าละอองฝุ่นที่เกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วของจนเป็นเรื่องยากที่จะบอกว่านั่นคือมนุษย์

วิชชชช....

เขาเริ่มชาร์จและโจมตีออกไปจากวงล้อมของฝุ่นควันและเจาะลำต้นหนาๆของต้นไม้ไกล้ๆ ปัง!! ต้นไม้สั่นสะเทือนเกิดการระเบิดและมีเสียงสะท้อนดังสนั่นออกมา เหล่าใบไม้ที่ร่วงหล่นลงมาจำนวนหนึ่งและรอยกำปั้นได้ประทับอยู่กลางลำต้นของต้นไม้

ซือมูยกคิ้วขึ้นเขาสังเกตเห็นรอยประทับที่เกิดจากกำปั้นของเขาที่ถูกทิ้งไว้บนต้นไม้

การเคลื่อนไหวดังกล่าวนี้เป็นเทคนิคแรกที่ได้รับการสอนในโรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้ในเมือง นอกจากนี้ยังได้รับความนิยมมากที่สุดในทักษะ ศิลปะการผ่อนปรนร่างกาย ในราชอาณาจักรสวรรค์ ดาฉี อาจารย์ผู้สอนบอกเขาว่าต้องอยู่ในระดับที่เจ็ดของศิลปะการผ่อนปรนร่างกาย ซึ่งหมายความว่าต้องผ่านอีกสองระดับถึงจะสามารถสัมผัสถึงพลังปราณได้

เขาต้องใช้เวลาสี่ปีในการบรรลุระดับที่เจ็ด ความจริงมีบ้างที่บอกว่าศิลปะการต่อสู้นั้นเหมาะกับคนที่มั่งคั่งร่ำรวย

เขาเข้าเรียน 5 - 6 เดือน ด้วยการลดค่าเล่าเรียนเหลือเพียง 32 เงินจากวันที่เขาตัดสินใจเรียนศิลปะการต่อสู้ นี่เป็นค่าเล่าเรียนที่ลดแล้วเหมือนคนอื่นๆต้องจ่ายในราคาที่สูงกว่าสำหรับการฝึกของพวกเขา เขาสามารถลดค่าเล่าเรียนด้วยการขอร้องอย่างจริงใจโดยไม่หยุดยั้ง

ด้วยราคาที่สูงเกินไปของยาแช่ที่จำเป็นในการฝึกฝนร่างกายทำให้เขาไม่มีเงิน แม้จะอยู่ในสถานะที่ย่ำแย่ ซือมูยังสามารถเข้าสู่ระดับที่โดดเด่นได้ เรื่องนี้ทำได้โรงเรียนนั้นประหลาดใจและได้รับคำชมจากอาจารย์ผู้สอน เชื่อว่าพรสวรรค์และความสามารถของเขาต้องดีมาก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าซือมูเกิดเพื่อเป็นนักรบโดยเฉพาะ

เขาอาจขอให้นักปรุงยาของโรงเรียนจัดเตรียมห้องอาบสมุนไพรให้เป็นครั้งคราว แต่เงินที่เขามีอยู่ไม่สามารถซื้อสมุนไพรราคาแพงและหายากได้ ดังนั้นเขาเพียงแค่สามารถเพียงแค่แช่สมุนไพรสามัญธรรมดาเพื่อเพิ่มการเจริญเติบโตทางกายภาพของเขา

ซือมูถอนหายใจ เขารู้ดีกว่าเขาไม่ได้เกิดมาพร้อมกับกระดูกที่แข็งแรง เมื่อสองปีก่อนเป็นโชคชะตานำพาซึ่งความสำเร็จของเขาในภายหลัง เขารู้ดีว่านี่เป็นเหตุผลที่เขาต้องการเวลาในการตัดสินใจจะย้ายไปอยู่กับตระกูลจินหรือไม่

โดยทิ้งปัญหาเหล่านั้นเขาเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ก่อนจะวิ่งลงไปเนินเขา เขามาถึงชายทะเลยืนอยู่บนกลุ่มของโขดหินและไม่กี่วิเขากระโดดลงไปในทะเล เขาขยับแขนอย่างรวดเร็วเหมือนปลายักษ์ในทะเลลึก หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ว่ายน้ำลึกลงไป 3-4 ร้อยฟุต

มีบางอย่างที่น่าประทับใจเกิดขึ้นในแววตาของเขา

ทะเลที่มืดครึ้มก่อนหน้านี้เริ่มส่องแสงสีขาว แสงนั้นสว่างขึ้นและสาดส่องรอบๆบริเวณ

ซือมูไม่ได้รู้สึกตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ เขาผ่อนลมหายใจและว่ายน้ำลึกลงไปหลายเมตรใกล้ผืนทราย เขามาถึงก้นทะเลซึ่งปกคลุมไปด้วยเม็ดทรายขาวละเอียด

เขามองเห็นแสงระยิบระยับที่เกิดจากเปลือกหอยนับลิบขนาดเท่าฝ่ามือมนุษย์ในแต่ละอัน ท่ามกลางเปลือกหอยมีศิลาซึ่งสูง 70-80 ฟุตส่องแสงกระพริบอย่างไม่หยุดหย่อนตั้งอยู่

จบ บทที่ 1 – เด็กหนุ่มจากหมู่บ้านของชาวประมง

โปรดติดตามตอนต่อไป The Portal of Wonderland บทที่ 2 - ไข่มุก ของขวัญจากสาวน้อยที่อยู่ในเปลือกหอย


EmoticonEmoticon